Author: MKT CBS admin

Brand News

ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 10 แล้วของการมอบรางวัล ASEAN and Thailand’s Top Corporate Brands 2019 ให้กับ แบรนด์องค์กรที่มีมูลค่าสูงสุดทั้งในประเทศไทย และ ภูมิภาคอาเซียน โดยความร่วมมือของ หลักสูตร MBM Chulalongkorn Business School ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ Manager

โดยงานดังกล่าวจัดขึ้นเมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมา และ ได้รับความสนใจจากผู้บริหารสูงสุดขององค์กรขนาดใหญ่ทั่วภูมิภาค และสร้างปรากฏการณ์แบรนด์องค์กรในสังคมธุรกิจไทยอย่าชัดเจน

 

ทั้งนี้รางวัลดังกล่าว เกิดขึ้นจากผลงานวิจัย ของ ศ.ดร.กุณฑลี รื่นรมย์ และ ดร.เอกก์ ภทรธนกุลอาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการสร้างเครื่องมือวัดมูลค่าแบรนด์องค์กร หรือ CBS Valuation (Corporate Brand Success Valuation)

 

วันนี้เราเลยอยากชวนนักวิจัยมาพูดคุยกันถึงเบื้องหลังแนวคิด และที่มาของงานวิจัยชิ้นนี้ อย่าเอาแต่พัฒนาแบรนด์สินค้าจนลืมคุณค่าของแบรนด์องค์กร

 

นักวิจัยเล่าว่า การประกาศรางวัลในครั้งนี้ ต้องการกระตุ้นให้เกิดความตระหนักถึงความสำคัญ
ของแบรนด์องค์กรซึ่งถือเป็น เครื่องมือสำคัญ ของการสร้างความสำเร็จอย่างยังยืนให้กับบริษัทต่างๆในประเทศไทย ในอดีตองค์กรต่างๆให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบรนด์สินค้าแต่อาจหลงลืมไปว่าแบรนด์องค์กร ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ถ้าแบรนด์องค์กรแข็งแรง
ก็จะส่งผลดีต่อแบรนด์สินค้าจำนวนมากในองค์กรนั้นด้วย ถ้าเปรียบง่ายง่ายแบรนด์องค์กรเหมือนนามสกุลแบรนด์สินค้าเหมือนชื่อ การสร้างชื่อโดยลืมนามสกุล อาจจะเป็นประโยชน์ต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่ถ้าสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับวงศ์ตระกูลหรือนามสกุลได้แล้วประโยชน์ก็จะเกิดแก่ลูกหลานอีกหลายเจนเนอเรชั่น

 

รางวัลแห่งความภาคภูมิใจจากงานวิจัยที่เป็นสากล ความแตกต่างสำคัญของรางวัลนี้มีด้วยกันสามประการ

หนึ่ง คือเป็นการมอบรางวัลแบรนด์องค์กรซึ่งครอบคลุมทุกแบรนด์สินค้าในองค์กรนั้น ๆ จะเห็นได้ว่าท่าน ที่เดินทางมารับรางวัลเป็นผู้บริหารสูงสุด
ของแต่ละองค์กรทั้งสิ้น

สอง คือการวัดผลใช้เครื่องมือที่เกิดขึ้นจากงานวิจัย ที่ได้รับการยอมรับอย่างยิ่งในแวดวงวิชาการ
คือเครื่องมือ Corporate Brand Success (CBS) Valuation ซึ่งได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น
สภาวิจัยแห่งชาติสาขาเศรษฐศาสตร์ประจำปีพ.ศ. 2557 กล่าวได้ว่าผลรางวัลนี้เชื่อถือได้อย่างยิ่ง

สาม คือ ผลรางวัลขึ้นกับมูลค่า แบรนด์ที่เป็นตัวเลขทางการเงิน เกิดขึ้นจากการคำนวณจากข้อมูลเชิงปริมาณจากตลาดหลักทรัพย์ และงบการเงินของบริษัทจดทะเบียนลดความลำเอียงของการประเมินผล โดยบุคคลและทำให้ผลมูลค่าแบรนด์จับต้องได้อย่างชัดเจน

 

กว่าจะเป็นสุดยอดแบรนด์ นักวิจัยต้องนำตัวเลขทางการเงินจากตลาดหลักทรัพย์ ทั่วทั้งอาเซียนและ งบการเงินของบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ ตลอดสามปีย้อนหลัง มาคำนวณด้วยสูตร CBS Valuation แล้วจึงนำมาแยกเป็นหมวดธุรกิจ จึงจะทราบแบรนด์องค์กรที่มีมูลค่าสูงสุดในแต่ละหมวดธุรกิจ

 

นอกจากนั้นผู้วิจัยยังได้คิดคำนวณด้วยเทคนิคทางสถิติ เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างมูลค่าแบรนด์และกำไรสุทธิด้วย พบว่าตัวแปรทั้งสองมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยยะสำคัญ และเนื่องจากงานวิจัยได้รับความสนใจอย่างมาก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้การประกาศผลต้องทำอย่างระมัดระวังมาก การเก็บข้อมูลและการตรวจสอบข้อมูลจำนวนมาก จากบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ทั่วทั้งอาเซียน ตลอดสามปีต้องทำอย่างละเอียดอย่างยิ่ง

 

สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากแบรนด์ชั้นนำในอาเซียน อันที่จริงแบรนด์ไทยที่เป็นสุดยอดแบรนด์
ก็ไม่ได้น้อยหน้าแบรนด์ชั้นนำจากประเทศในอาเซียนเลย ดูได้จากมูลค่าของแบรนด์ที่ได้เป็นสุดยอดแบรนด์ไทย ก็เทียบเคียงกับหลายบริษัทที่เป็นท็อปของภูมิภาค

 

อย่างไรก็ดีในงานครั้งผ่านมาเราได้รับความกรุณา จาก Mr.Arthur Lang CEO International บริษัท Singtel ประเทศสิงคโปร์ขึ้นร่วมบรรยายกับท่านคณบดี ผศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร และ Prof.Shigeo Okazaki กูรูด้านแบรนด์พบว่า สิ่งสำคัญที่แบรนด์องค์กรของไทย
ต้องให้ความสำคัญอย่างยิ่ง คือการพัฒนาแบรนด์โดยพื้นฐานของความจริง (Authenticity) และต้องเป็นแบรนด์ที่ทำความดีเพื่อสังคมอย่างแท้จริง

 

การพัฒนาที่ยั่งยืนคือรางวัลที่แท้จริง นักวิจัยมีความคาดหวังตั้งแต่เริ่มการวิจัยเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ให้องค์กรต่างตระหนักและให้ความสำคัญกับการพัฒนาแบรนด์องค์กรอย่างเต็มที่เป็นรูปธรรมซึ่งในวันนี้เราพบว่างานวิจัยของเราเป็นพาหนะที่นำสู่เป้าหมายนั้นได้มาพอสมควรแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรขนาดใหญ่

 

อย่างไรก็ตามเรายังหวังที่จะเห็นว่าองค์กรขนาดกลางและขนาดย่อม จะให้ความสำคัญกับแบรนด์องค์กรมากขึ้นเรื่อย ๆ และสามารถนำแบรนด์องค์กรที่แข็งแกร่งไปสร้างความสำเร็จที่ ยั่งยืน แก่ธุรกิจและสังคมได้

Soเชี่ยว EP9 แฮชแท็ก (Hashtag) เป็นเครื่องมือทางการตลาด จริงหรือเปล่า?

“ยังรอการพิสูจน์ (FIND OUT)”

แฮชแท็ก (#) เองก็เป็นเครื่องมือที่ทำให้เกิดการแชร์ต่อ พูดต่อ เมื่อใดที่เราใช้แฮชแท็กนั่นหมายความว่าเรารับฟังคำสั่งและทำตาม ซึ่งผู้บริโภคก็มีแนวโน้มว่าจะทำตามได้โดยง่าย เพราะถือว่าไม่มีต้นทุนในการทำ ถือว่าเป็นการร่วมชิงโชค เครื่องมือเหล่านี้จึงเป็นเครื่องมือส่งเสริมการขายของแบรนด์ แฮชแท็กสามารถดึงคนที่มีทัศนคติตรงกัน แฮชแท็กเหมือนกัน พูดข้อมูลเหมือนกัน ก็จะรวบรวมอยู่ภายใต้คำ ๆเดียวกัน เช่น ถ้าเราแฮชแท็ก #1ล้าน พอเราคลิกเข้าไปก็จะพบว่าลูกค้าที่ให้ความร่วมมือกับเราเป็นลูกค้าคนไหนบ้าง เมื่อแฮชแท็กเกิดการแชร์มาก ๆ (Viral) จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากไม่ได้ใช้ในการส่งเสริมการขายก็จะใช้ในการประชาสัมพันธ์ เมื่อมีการประชาสัมพันธ์ แล้วลูกค้าแชร์ไปมากๆ ก็จะโด่งดัง เป็นที่กล่าวขานในกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย สรุปว่า แฮชแท็ก เป็นเครื่องมือทางการตลาดหรือไม่นั้น ผู้บริโภคต้องวิเคราะห์จากสถานการณ์นั้น ๆ เองเป็นกรณี ๆ ไป ขอขอบคุณ ผศ.ดร.วิเลิศ ภูริวัชร หัวหน้าภาควิชาการตลาด คณะพาณิชศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รายการ Soเชียว ออกอากาศทางโทรทัศน์ช่องไทยพีบีเอส (ThaiPBS) ทุกวันจันทร์ อังคาร และพุธ เวลา 20.25 น. หลังข่าวในพระราชสำนัก และ ข่าวไทยบันเทิง

**********************************************

สามารถติดตามรับชมรายการ “Soเชี่ยว”

ย้อนหลังได้ที่ Soเชี่ยว Playlists: https://goo.gl/F1vT9p

แล้วมา Soเชี่ยว(ชาญ) ไปด้วยกันนะคะ!

ด่วน หรือ สำคัญ ทำอะไรก่อนกัน?

ท่านผู้อ่านเคยมีความคิดว่าอยากจะทำสิ่งต่างๆ เต็มไปหมด จนถึงขั้นจดลงเป็นข้อๆ เลยว่าจะทำอะไรบ้าง

 

แต่สุดท้ายก็พบว่าสิ่งที่ได้รับความสนใจและลงมือทำจริงๆ มักจะเป็นสิ่งที่ด่วน มากกว่าสิ่งที่สำคัญ งานใดก็ตามที่ด่วน (ถึงแม้อาจจะไม่สำคัญ) มักจะได้รับความเอาใจใส่มากกว่างานที่สำคัญ (แต่ไม่ได้ด่วน) ดังนั้นเมื่อถึงตอนสิ้นสุดของแต่ละวันหรือสัปดาห์ท่านอาจจะมีความรู้สึกว่าได้ทำงานเสร็จไปมากมายหลายอย่าง แต่ขณะเดียวกันก็จะมีความรู้สึกลึกๆ ซ่อนอยู่ว่ายังมีงานที่สำคัญอีกหลายอย่างที่ควรจะทำแต่ไม่ได้ทำเสียที

 

ปรากฎการณ์ข้างต้นไม่ใช่สิ่งที่แปลก เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป ถึงขั้นมีการตั้งชื่อว่าเป็น Urgency Effect ซึ่งเกิดขึ้นจากสมองของเราจะสั่งการหรือให้ความสำคัญกับความสำเร็จในระยะสั้นมากกว่าผลลัพธ์ที่จะได้รับในระยะยาว ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเมื่อทำงานเฉพาะหน้าสำเร็จเราจะรู้สึกดี ขณะที่งานที่จะต้องใช้เวลานานในการที่จะทำให้สำเร็จ (ซึ่งถึงแม้จะมีความสำคัญ) กลับไม่ได้รับความสนใจจากสมองเท่าไร

 

ล่าสุดมีงานวิจัยที่ลงในวารสาร Journal of Consumer Research เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ศึกษาวิจัยถึงปรากฎการณ์ Urgency Effect และพบข้อมูลสนับสนุนว่า คนจะทำในสิ่งที่ไม่มีความสำคัญ แต่มีความเร่งด่วน (เช่น การมีระยะเวลาหรือกำหนดการ) มากกว่าสิ่งที่มีความสำคัญ แต่ไม่มีกรอบระยะเวลากำหนดไว้ ทั้งๆ ที่ผลของการทำงานที่ไม่มีความสำคัญแต่ด่วนนั้น เมื่อเทียบในแง่ของความสำคัญ ผลกระทบ หรือ ประโยชน์ที่ได้รับ จะเทียบกับงานที่สำคัญแต่ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาไว้ ไม่ได้เลย

 

นอกจากนี้ งานวิจัยข้างต้นยังพบอีกว่ายิ่งถ้างานที่ไม่สำคัญแต่ด่วนนั้นเป็นงานเล็กๆ ที่สามารถทำได้เสร็จโดยเร็ว จะยิ่งได้รับความสำคัญหรือความสนใจมากกว่างานที่สำคัญที่ไม่มีกรอบระยะเวลา และเป็นงานที่ใหญ่กว่า

 

อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ ที่ชื่อ Dwight Eisenhower ได้เคยกล่าวประโยคหนึ่งที่น่าสนใจไว้ว่า ‘What is important is seldom urgent and what is urgent is seldom important’ หรือพอจะแปลเป็นได้ว่า สิ่งที่สำคัญมักจะไม่ด่วน ส่วนที่ด่วนนั้นมักจะไม่สำคัญ เลยได้มีการนำหลักการดังกล่าวพัฒนาต่อเป็นตาราง 2×2 ขึ้นมา โดยเรียกว่า Eisenhower Box โดยแกนหนึ่งเป็น สำคัญ และ ไม่สำคัญ ส่วนอีกแกนเป็น ด่วน และ ไม่ด่วน ดังนั้นก็จะเกิดช่องขึ้นมา 4 ช่อง โดยช่องแรก คือ สำคัญและด่วน (เป็นสิ่งที่จะต้องทำทันที) ช่องสอง คือ สำคัญแต่ไม่ด่วน (สิ่งที่ปรากฎในช่องนี้จะต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าจะทำเมื่อไร) ช่องสาม คือ ไม่สำคัญแต่ด่วน (อาจจะมอบหมายให้ผู้อื่นทำแทนได้) และ ช่องสุดท้ายคือ ไม่สำคัญและไม่ด่วน (อาจจะไม่ต้องสนใจไปเลย)

 

ท่านผู้อ่านลองวาด Eisenhower Box ของท่านดู และลองใส่กิจกรรมหรือสิ่งที่จะต้องทำลงในทั้งสี่ช่อง ตัวอย่างเช่น การออกกำลังกาย ก็ควรจะอยู่ในช่องที่สอง คือ สำคัญแต่ไม่ด่วน (จึงมักจะถูกละเลยหรือผลัดวันประกันพรุ่ง) นอกจากนี้ยังจะพบอีกว่ากิจกรรมที่ปรากฎอยู่ในช่อง ด่วน มักจะเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีความสำคัญ ส่วนสิ่งที่มีความสำคัญมักจะตกอยู่ในช่อง ไม่ด่วน

 

เมื่อเราทราบแล้วว่าสมองของเรามักจะพอใจกับความสำเร็จระยะสั้นที่ทำได้ง่าย (ด่วนแต่ไม่สำคัญ) วิธีการแก้ไขก็ไม่ยาก นั้นคือสิ่งที่มีความสำคัญ แต่ไม่ด่วน จะต้องได้รับการแตกออกมาเป็นงานหรือกิจกรรมเล็กๆ ที่มีระยะเวลากำหนดให้แน่นอน เพราะพอถูกแตกเป็นกิจกรรมย่อยแล้ว ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นได้ง่ายกว่า และพอมีระยะเวลามากำกับแล้วก็จะกลายเป็นสิ่งที่ด่วนขึ้นมา สุดท้ายงานที่สำคัญ แต่ไม่ด่วน และมีขนาดใหญ่ ก็ย่อมสามารถที่จะถูกทำให้สำเร็จได้

นวัตกรรมเริ่มจากการเชื่อมโยง

นวัตกรรมเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรอยากจะให้เกิด แต่ความท้าทายคือจะทำอย่างไรให้สามารถเกิดนวัตกรรม?

 

จริงๆ แล้วพื้นฐานที่สำคัญประการหนึ่งของการเกิดสิ่งใหม่ๆ นั้น คือเริ่มต้นจากการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่เข้าด้วยกัน ถ้าเป็นศัพท์แบบไทยๆ เราก็เรียกว่า จับแพะชนแกะ หรือ ถ้าเป็น Steve Jobs ก็จะพูดให้ออกมาดูดีว่า “Creativity is just connecting things”

 

อย่างไรก็ดีกับดักสำคัญสำหรับนวัตกรรมที่มาจากความคิดเชื่อมโยงก็คือ ผู้บริหารมักชอบที่จะมองภายใต้กรอบหรือบริบทที่ตนเองคุ้นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมองภายใต้กรอบของอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ตนเองอยู่ และมักจะชอบตั้งข้อจำกัดให้กับวิธีคิด ว่าจะต้องจำกัดอยู่แต่เฉพาะในสิ่งที่ตนเองทำหรือคุ้นเคย ทำให้ยากที่จะเชื่อมโยงกับสิ่งต่างๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเชื่อมโยงนอกกรอบธุรกิจเดิมของตนเอง

 

มีตัวอย่างของธุรกิจใหม่ๆ มากมายที่เกิดขึ้นเนื่องจากการเชื่อมโยงใน 2 ธุรกิจที่มีอยู่เข้าด้วย เช่น เมื่อชาบูผสมกับซูชิ ก็กลายเป็นร้านอาหารรูปแบบใหม่ที่มีทั้งชาบูและซูชิอยู่ด้วยกัน หรือ เมื่อสุกี้ผสมกับซูชิก็เป็นร้านอาหารในอีกรูปแบบหนึ่งเช่นเดียวกัน หรือ แม้กระทั่งการเชื่อมโยงผสมผสานในธุรกิจเดียวกันแต่คนละตลาด เช่น เครือโรงแรมแห่งหนึ่งในต่างประเทศชื่อ citizenM ซึ่งเพิ่งเปิดตัวเมื่อปี 2008 และมุ่งเน้นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ affordable luxury นั้นคือความหรูหราในทำเลกลางเมืองที่ราคาไม่แพง

 

เครือโรงแรม citizenM มีความน่าสนใจในด้านของการเชื่อมโยง นั้นคือเขาพยายามที่จะสร้างโรงแรมสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา ด้วยการเชื่อมโยงและผสมผสานระหว่างโรงแรมสามดาว และโรงแรมห้าดาว ในส่วนของความเป็นโรงแรมสามดาวนั้นคือในเรื่องของราคาที่ไม่แพง และห้องที่ไม่ใหญ่ (จริงๆ คือห้องที่เล็ก) สำหรับในส่วนของความเป็นห้าดาวนั้น คือเตียงนอนที่ใหญ่น่านอน ห้องที่ทันสมัย ทำเลทองใจกลางมหานครใหญ่ มีฟรี Wifi ที่มีสัญญาณแรง

 

ปัจจุบัน citizenM เริ่มไปเปิดตามทวีปต่างๆ มากขึ้น และผลที่ได้รับจากการเชื่อมโยงระหว่างความเป็นสามดาวและห้าดาวคือ อัตราการเข้าพักที่สูงถึงร้อยละ 90 เลยทีเดียว

 

ตัวอย่างไทยๆ ก็มีให้เห็นมากมายถึงธุรกิจใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมโยงสิ่งที่มีอยู่แล้วเข้าด้วยกัน ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือสินค้าขึ้นช่ือจากจังหวัดสิงห์บุรี เค้กปลาช่อน จากร้านเกษราเบเกอรี่ ที่เกิดขึ้นจากการเชื่อมโยงระหว่างของดีจังหวัดสิงห์บุรีอย่างปลาช่อน กับธุรกิจดั้งเดิมของตนเอง คือเบเกอรี่ หรือตัวอย่างสุดคลาสสิกของคนไทย คือการที่ครูเพลงไทยที่เป็นศิลปินแห่งชาติอย่างครูสง่า อารัมภีร ท่านประพันธ์เพลงน้ำตาแสงไต้ (เพลงประจำละครพันท้ายนรสิงห์) โดยท่านได้แรงบันดาลใจจากการนำเพลงเขมรไทรโยคและเพลงลาวครวญมาผสมผสานกัน

 

ความสามารถในการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกันนั้น กล่าวกันว่ามาจากการทำงานของสมองข้างขวาเป็นหลัก ต่างจากความสามารถในการคิดวิเคราะห์ซึ่งมาจากการทำงานของสมองข้างซ้ายเป็นหลัก ซึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือในปัจจุบันในยุคที่ Big Data หรือ Data Science กำลังโด่งดังและทุกองค์กรต่างพยายามนำข้อมูลของตัวเองมาวิเคราะห์เพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่ถ้าผู้บริหารหรือผู้ที่เกี่ยวข้องไม่สามารถมองเห็นความเชื่อมโยงจากข้อมูลเหล่านั้น หรือ ไม่สามารถที่จะเชื่อมโยงสิ่งที่ได้จากข้อมูลเข้ากับสิ่งต่างๆ ได้ การเพียงแค่การวิเคราะห์ข้อมูลก็ยากที่จะนำไปสู่การสร้างสรรสิ่งใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้

 

ปัจจุบันองค์กรและสถาบันการศึกษาต่างมุ่งสร้างคนรุ่นใหม่ซึ่งมีความสามารถในการวิเคราะห์ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่อย่างไรก็ดี ควรจะต้องไม่ละทิ้งความสำคัญของการสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถในการคิดเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกัน ซึ่งทักษะในการเชื่อมโยงนั้นจะยิ่งมีความสำคัญขึ้นอีกในอนาคต ที่นอกเหนือจากจะเป็นพื้นฐานของนวัตกรรมแล้ว ความสามารถในการคิดและเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ยังเป็นสิ่งที่สมองกล AI หรือ หุ่นยนต์ ยากที่จะลอกเลียนแบบคนได้ ดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือคนพันธุ์ใหม่ที่มีความสามารถทั้งการคิด วิเคราะห์ และ เชื่อมโยง อยู่ในคนๆ เดียว

อากาศแปรปรวนกับธุรกิจ

ปัญหาที่เกิดขึ้นจากอากาศแปรปรวนหรือ Climate Change เป็นปัญหาใหญ่ที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกกำลังประสบ

 

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอุณหภูมิที่สูงขึ้นผิดปกติตามภูมิภาคต่างๆ ที่ถึงขั้นนำไปสู่ไฟป่า หรือเรื่องของหิมะที่ขั้วโลกที่กำลังละลายด้วยอัตราที่รวดเร็วกว่าเดิม หรือ เรื่องของพายุในรูปแบบต่างๆ ที่พัดเข้าสู่เมืองต่างๆ ทั่วโลก ปัญหาที่เกิดจากอากาศแปรปรวนนั้นมักจะถูกมองเป็นเรื่องของภัยธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ หรือด้านสังคมเป็นหลัก แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งอากาศแปรปรวนนั้นก็ส่งผลต่อภาคธุรกิจอย่างมหาศาลเช่นกัน และเผลอๆ อาจจะเป็นประเด็นที่ส่งผลต่อธุรกิจสูงกว่าที่ผู้บริหารต่างๆ คาดคิด

 

มีหนังสือชื่อ The Big Pivot ได้ระบุไว้ว่าในปัจจุบันองค์กรธุรกิจ จำเป็นจะต้องเข้าใจเรื่องของอากาศแปรปรวนในระดับเดียวกันกับที่เข้าใจและเชี่ยวชาญต่อสังคมออนไลน์ อย่างไรก็ดี ความท้าทายที่สำคัญคือ เราสามารถบอกได้ว่าอากาศแปรปรวนจะมีผลกระทบต่อองค์กรธุรกิจอย่างไร เช่น มีงานวิจัยที่พบว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้น จะส่งผลต่อผลผลิตและผลิตภาพของพนักงาน แต่ความยากอยู่ที่จะบอกได้ว่าอากาศแปรปรวนจะส่งผลกระทบต่อองค์กรธุรกิจเท่าใด ปัจจุบันองค์กรต่างๆ ได้มีความพยายามในการป้องกันและแก้ไขต่อปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยหลากหลายวิธี ทั้งการนำเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับอากาศแปรปรวนมาตั้งเป็นเป้าหมายทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDG) ในด้านอากาศแปรปรวน หรือ การตั้งเป้าหมายที่เกี่ยวกับการลดก๊าซเรือนกระจก หรือ การตั้งเป้าหมายที่จะใช้พลังงานที่มาจากพลังงานทดแทนทั้งหมด หรือ การตั้งเป้าหมายการลดการใช้พลังงานในกระบวนการต่างๆ ของบริษัท

 

บางบริษัทต่างๆ อย่างเช่น ยูนิลีเวอร์ โคคาโคล่า หรือ วอลมาร์ท ได้ประกาศออกมาอย่างชัดเจนว่าจะใช้หันมาใช้พลังงานจากแหล่งพลังงานทางเลือกให้ได้ 100% ภายในอนาคต

 

ขณะเดียวกันบางบริษัทนำระบบ Internal carbon pricing มาใช้ ซึ่งเป็นการกำหนดราคาให้กับปริมาณก๊าซ CO2 ที่ธุรกิจปล่อยออกมา (เช่นเป็นราคาต่อตัน) และราคาดังกล่าวมาใช้ในการตัดสินใจลงทุนด้านต่างๆ นอกจากนี้ยังเริ่มมีไอเดียเรื่องของ Climate Finance ที่องค์กรเริ่มนำมาใช้มากขึ้น โดย Climate Finance เป็นการนำเอาเครื่องมือทางการเงินต่างๆ มาช่วยในการลดโอกาสในเกิดภาวะอากาศแปรปรวนผ่านทางโครงการต่างๆ ซึ่งมีทั้งเรื่องของ on-bill financing, green pricing programs, หรือ green bonds

 

ถึงแม้ความท้าทายจากภาวะอากาศแปรปรวนจะส่งผลอย่างมากมายต่อทุกภาคส่วน แต่ก็มีบุคลากรขององค์กรธุรกิจจำนวนไม่มากนักที่ได้รับการอบรมหรือพัฒนา ที่จะสามารถนำเรื่องของผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะอากาศมาปรับเข้ากับแผนธุรกิจต้องยอมรับว่าในยุค Transformation เช่นในปัจจุบัน เรามุ่งที่จะพัฒนาคนทางด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี แต่จริงๆ แล้วภาวะอากาศแปรปรวนก็ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจไม่แพ้ปัจจัยทางด้านดิจิทัลแต่อย่างใด ความรู้และทักษะของคนทำงานในสาขาต่างๆ จะต้องเปลี่ยนไป และมีการนำเรื่องผลกระทบจากภาวะการเปลี่ยนแปลงของอากาศเข้ามาผสมผสานมากขึ้น

 

การที่องค์กรธุรกิจหันมาให้ความสนใจและมีการกระทำที่ชัดเจนเกี่ยวกับภาวะอากาศแปรปรวน นอกจากจะส่งผลดีต่อโลก สังคม และต่อองค์กรธุรกิจเองแล้ว ยังทำให้ผู้บริโภคและประชาชนทั่วไปเกิดความมั่นใจและเชื่อใจในตัวองค์กรด้วย ลูกค้าจะเลือกซื้อสินค้าจากบริษัทที่มีนโยบายด้านสังคมที่สอดคล้องกับความสนใจของตนเอง ขณะเดียวกันคนรุ่นใหม่ก็จะอยากจะทำงานกับบริษัทที่ให้ความสำคัญและจริงจังกับเรื่องของสังคมและสิ่งแวดล้อม

 

สรุปคือเรื่องของภาวะอากาศแปรปรวนไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น แต่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลต่อทุกองค์กรไม่แพ้การเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าองค์กรไม่เตรียมพร้อมที่จะรองรับต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น

2 มุมมอง 6 มิติของผู้นำ

ท่านผู้อ่านสงสัยไหมว่า ผู้บริหารสูงสุดขององค์กรมีบทบาทและหน้าที่อะไรบ้าง?

 

ล่าสุด Michael Porter และ Nitin Nohria ก็ได้ทำการศึกษาการแบ่งและใช้เวลาของบรรดา CEO และสรุปออกมาเป็นบทบาทและหน้าที่ของผู้นำสูงสุดขององค์กร ซึ่งทั้งคู่มองว่า CEO นั้นสามารถที่จะมีอิทธิพล (Influence) ต่อการดำเนินงานขององค์กรได้ใน 6 มิติ และแต่ละมิติก็มี 2 มุมมองที่แตกต่างกัน ซึ่ง CEO ที่ดีจะต้องตระหนักและเข้าใจถึงความแตกต่างของทั้ง 2 มุมมองในแต่ละมิติ

 

มิติแรก CEO เป็นผู้ที่อิทธิพลโดยตรงต่อเรื่องราวต่างๆ ในองค์กร ผ่านการสั่งการ การประชุม ฯลฯ อย่างไรก็ดี CEO ไม่สามารถเข้าไปยุ่ง วุ่นวายกับทุกๆ เรื่องภายในองค์กรได้ ดังนั้น CEO จะต้องรู้จักที่จะใช้อิทธิพลทางอ้อมเพื่อขับเคลื่อนองค์กรสู่ความสำเร็จไปพร้อมๆ กัน โดยอิทธิพลทางอ้อมนั้นสามารถที่จะผลักดันผ่านทางกลยุทธ์ ค่านิยม กระบวนการในการทำงานต่างๆ เพื่อให้การทำงานของทั้งองค์กรสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน

 

มิติที่ 2 การทำงานของ CEO นั้นจะต้องปฏิสัมพันธ์กับบุคคลต่างๆ ภายในองค์กรเป็นหลัก อย่างไรก็ดี CEO ที่ดีจะต้องไปมีปฏิสัมพันธ์ และ เชื่อมโยงกับบุคคลต่างๆ ภายนอกองค์กร CEO ที่ดีจะต้องสามารถเชื่อมระหว่างภายนอกกับภายในให้ได้ โดยนำมุมมองจากภายนอกเข้ามามีส่วนต่อการทำงานภายในขององค์กร อีกทั้งจะต้องทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจถึงงาน ความสำคัญ และผลลัพธ์ของสิ่งที่องค์กรทำ

 

มิติที่ 3 งานของ CEO ส่วนใหญ่เป็นงานเชิงรุก CEO จะต้องมีการตั้งเป้าหมายและขับเคลื่อนงานต่างๆ เพื่อไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ แต่ขณะเดียวกัน CEO ก็ต้องพร้อมรับมือต่อเหตุการณ์และปัญหาต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น CEO ที่ทำแต่งานเชิงรุกอย่างเดียว โดยไม่สนใจต่อสถานการณ์หรือปัญหาที่เกิดขึ้นในองค์กร ก็อาจจะนำไปสู่ความล้มเหลวของทั้ง CEO และองค์กรได้

 

มิติที่ 4 CEO มีอำนาจที่จะสั่งการในเรื่องต่างๆ ได้ตามขอบเขตอำนาจหน้าที่ของความเป็นผู้นำองค์กร แต่ในความเป็นจริงนั้นจะพบว่ามีข้อจำกัดหรืออุปสรรคต่างๆ มากมายต่อการใช้อำนาจหน้าที่นั้น ไม่ว่าจะเป็นความเห็นที่แตกต่างกันของผู้บริหารระดับรอง หรือ บอร์ด ดังนั้น CEO ที่ดีจะต้องสร้างความสมดุลระหว่างอำนาจที่ตนเองมีอยู่ กับการให้ความสำคัญต่อความคิดเห็นหรือความรู้สึกของบุคคลอื่นในองค์กรด้วย มิฉะนั้นการต่อต้านจากคนอื่นๆ ภายในองค์กรก็อาจจะเกิดขึ้น

 

มิติที่ การตัดสินใจของ CEO ในเรื่องต่างๆ นั้นมีทั้งส่วนที่จับต้องหรือเห็นภาพได้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกลยุทธ์ เป้าหมาย งบประมาณ การเลือกคน แต่ในอีกมุมหนึ่ง พบว่าอิทธิพลที่สำคัญของ CEO จะมาจากการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ต่างๆ ของ CEO (ทั้งสิ่งที่ทำหรือไม่ได้กระทำ) ซึ่งส่งผลต่อความคิด ทัศนคติ และ พฤติกรรมของคนในองค์กร โดยไม่รู้ตัว เช่น การแต่งกาย รถที่ขับ สถานที่รับประทานอาหาร การดูแลสุขภาพ หรือแม้กระทั่งรูปลักษณ์ (ความอ้วน-ผอม) ของ CEO ก็ส่งสัญญาณต่อบุคคลต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กรอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งต่างๆ ที่ CEO กระทำหรือไม่กระทำ อาจจะกลายเป็นบรรทัดฐานของพฤติกรรมของคนในองค์กรต่อไป

 

มิติที่ 6 ถึงแม้ CEO จะมีอำนาจที่มาจากหน้าที่ตามตำแหน่ง แต่ในอีกมุมหนึ่ง CEO ที่ดีจะต้องผสมผสานระหว่างอำนาจหน้าที่ กับ ความเชื่อใจและความไว้วางใจที่ได้รับจากบุคคลทั้งภายในและภายนอกองค์กร ซึ่งความไว้วางใจและเชื่อใจนั้นเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งการแสดงออกถึงค่านิยมอันดีงาม จริยธรรม ความยุติธรรม รวมถึงการทำเพื่อองค์กรโดยไม่เห็นแก่ตนเอง ซึ่งความไว้ใจและเชื่อใจนี้ ทำให้คนเกิดแรงจูงใจสูงกว่าอำนาจหน้าที่เพียงอย่างใดและมีส่วนช่วยนำองค์กรสู่ความสำเร็จได้

 

จะเห็นได้ว่าบทบาท หน้าที่ของ CEO ทั้ง 6 มิตินั้น มี 2 มุมมองให้ต้องขบคิดเสมอ และขณะเดียวกันก็มองว่าบทบาททั้ง 6 มิตินั้น ไม่ใช่สำหรับเพียงแค่ CEO อย่างเดียว คนที่จะเป็นผู้นำในระดับต่างๆ ไม่ว่าหน่วยงานเอกชนหรือราชการ ก็ต้องตระหนักและให้ความสำคัญต่อมุมมองที่แตกต่างกันของบทบาททั้ง 6 ประการ

ถอดรหัสพันธุกรรม CEO

เรามักจะมีความเชื่อว่า การจะเป็นซีอีโอ หรือผู้นำระดับสูงที่ประสบความสำเร็จขององค์กรได้นั้น ควรจะมีคุณลักษณะร่วมบางประการ

 

เช่น เรียนจบมาจากสถาบันดีๆ หรือเป็นคนที่มีลักษณะ extroverts ที่ชอบเจอคนอื่นๆ ชอบพูดคุยสังสรร แม้กระทั่งเคยมีคนเล่า(แกมประชด) ให้ผมฟังว่า การจะก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูงในไทยได้จะต้องมีคุณลักษณะ 4 ข้อใดข้อหนึ่ง คือ นิยมการดื่มกาแฟ ชอบตีกอล์ฟ มีความสามารถในการร้องคาราโอเกะ หรือชอบดื่มไวน์ เป็นต้น อย่างไรก็ดี ในต่างประเทศนั้นได้มีความพยายามในการเก็บข้อมูลจากบรรดา CEO ทั้งหลาย และพยายามถอดรหัสว่า บรรดา CEO ทั้งหลายนั้นควรจะมีพฤติกรรมอะไรบ้าง(ชื่อโครงการ CEO Genome Project)

 

ผลจาก CEO Genome Project ดังกล่าวได้พบว่าจริงๆ แล้วคนที่จะเป็น CEO ได้ ไม่จำเป็นต้องมีพฤติกรรมหรือคุณลักษณะตามที่เราเคยเข้าใจเลย เช่น ไม่จำเป็นต้องจบการศึกษาจากสถาบันดีๆ ดังๆ ไม่ได้ตั้งเป้าหมายในชีวิตว่าจะต้องเป็นผู้นำสูงสุด หรือ กว่า 1 ใน 3 เป็นคนที่มีลักษณะ Introverts (ไม่ชอบสุงสิง ชอบอยู่เงียบๆ) และพบว่าจริงๆ แล้วคนที่เป็น CEO นั้นจะมีพฤติกรรมที่แสนจะง่ายๆ ธรรมดาอยู่ 4 ประการ และพฤติกรรมดังกล่าวก็เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถที่จะมีหรือสร้างขึ้นมาได้

 

พฤติกรรมแรกเรียกว่า Decisiveness หรือ การตัดสินใจที่รวดเร็ว โดยพบว่า CEO ที่ประสบความสำเร็จนั้นจะถูกประเมินว่าเป็นผู้ที่ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว และ CEO เหล่านั้นมองว่า การพยายามทำอะไรให้สมบูรณ์แบบนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่เกื้อหนุนต่อความสำเร็จในสภาวะปัจจุบันเลย การตัดสินใจที่รวดเร็วนั้นมักจะเกิดจากการมีเกณฑ์ที่ใช้ในการตัดสินใจที่ชัดเจน การที่ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจในทุกเรื่อง โดยมอบหน้าที่ในการตัดสินใจในงานบางอย่างให้กับคนอื่นภายในองค์กร และ การอย่าไปคาดหวังว่าถูกต้องสมบูรณ์ 100% จากการตัดสินใจครั้งแรก แต่ต้องก้าวเดินต่อและค่อยๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ

 

พฤติกรรมประการที่ เรียกว่า Adapting Boldly ซึ่งเกิดขึ้นจากภาวะทางธุรกิจในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นผู้นำจะต้องไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง CEO ที่ดีจะแสวงหาสิ่งใหม่ๆ ทักษะใหม่ๆ และโอกาสในการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งจะต้องไม่ท้อถอยหรือหมดกำลังใจเมื่อล้มเหลว

 

พฤติกรรมประการที่ เรียกว่า Relentless Reliability หรือการสร้างความน่าเชื่อถือ เพราะความเชื่อถือไว้วางใจ ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของความสำเร็จ โดยเฉพาะสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่ CEO ทำขึ้นโดยไ่ม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความตรงต่อเวลา หรือการสื่อสารที่จริงใจ จริงๆ แล้วหลักสำคัญที่ง่ายที่สุดในการสร้างความน่าเชื่อถือ คือการทำในสิ่งที่พูดไว้ว่าจะทำ อีกทั้งความสม่ำเสมอและต่อเนื่องของสิ่งที่ทำ ก็จะทำให้เกิดการยอมรับและไว้วางใจจากลูกน้องได้มากขึ้น

 

พฤติกรรมประการสุดท้ายเรียกว่า Engage for impact ซึ่งผู้นำจะต้องมีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มบุคคลต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร และบางครั้งความต้องการของแต่ละกลุ่มก็อาจจะขัดแแย้งกันเองและขัดแย้งกันเอง ซึ่งบทบาทของ CEO คือจะต้องทำให้ทุกกลุ่มเข้าใจถึงบทบาทและหน้าที่ของตนเอง และสุดท้ายทุกคนจะต้องทำเพื่อเป้าหมายขององค์กร โดยวิธีการที่ CEO ที่ประสบความสำเร็จใช้คือวิธีการง่ายๆ อย่างเรื่องของการสื่อสาร และสื่อสารอยู่เป็นประจำกับกลุ่มบุคคลต่างๆ

 

นอกเหนือจากพฤติกรรมทั้ง 4 ประการข้างต้นแล้ว ผลการศึกษานี้ยังพบว่าความผิดพลาดส่วนใหญ่ (75%) ที่บรรดา CEO มักจะกระทำผิดพลาดคือ การเลือกคนผิด เนื่องจากคุณภาพของคนที่มาร่วมทีมนั้นจะส่งผลต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวขององค์กรเลยทีเดียว

 

ผลการศึกษาจาก CEO Genome Project นั้นทางผู้วิจัยทั้ง 2 คนคือ Kim Powell และ Elena Botelho ได้รวบรวมเขียนไว้ในหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The CEO Next Door ถ้าท่านผู้อ่านสนใจก็ลองไปหาอ่านกันต่อได้นะครับ